วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การเตรียมตัวก่อนการฝึกโยคะ





วิธีเตรียมตัว ก่อนฝึกโยค

    สิ่งสำคัญสำหรับการเตรียมตัวฝึกโยคะ คือ การเตรียมร่างกายและใจให้พร้อม เพื่อไม่ให้เกิดการติดขัดขณะฝึก และมีความปลอดภัย และทำให้การฝึกฝนมีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนรายละเอียดอื่น แอดมินขอสรุปคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

  • ควรฝึกโยคะ หลังรับประทานอาหารมาแล้ว อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
  • ควรขับถ่ายปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนทำการฝึก
  • ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสบายๆ ที่ยืดหยุ่นได้ดี ไม่รัดแน่จนเกินไป
  • ควรเตรียมผ้าขนหนู สำหรับซับเหงื่อ หรือสำหรับอาบน้ำหลังการฝึกฝน
  • ไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับทุกชนิด ในขณะทำการฝึกเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ 
  • ควรมาถึงสถานที่ฝึก เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มคลาส 15 นาที
  • ควรฝึกโยคะ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วันเพื่อให้ได้ผลยิ่งขึ้น  
  • ภาพจาก ปัทมาโยคะ





read more "การเตรียมตัวก่อนการฝึกโยคะ"

โยคะมีกี่ประเภท?

โยคะมีมากกว่า 100 ประเภท โดยแต่ละประเภทจะมีความแตกกันไป บางประเภทจะมีท่วงท่าที่รวดเร็วและมีความเข้มข้นในการฝึกสูง และบางประเภทก็จะมีท่วงท่าที่นุ่มนวลและเน้นความผ่อนคลาย รวมไปถึงวิธีการหายใจของแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันไป

ตัวอย่างประเภทของโยคะ เช่น

  •    หฐโยคะ (Hatha)
  •    วินยาสะโยคะ (Vinyasa)
  •    อัษฎางค์โยคะ (Ashtanga)
  •    โยคะร้อน (Bikram)
  •    ไอเยนการ์โยคะ (Iyengar)
  •    ศิวะนันทะโยคะ (Sivananda)
  •    พาวเวอร์โยคะ (Power Yoga)
อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถบอกได้ว่าโยคะประเภทใดดีที่สุดหรือแต่ละประเภทดีกว่ากันอย่างไร ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้สามารถเลือกประเภทของโยคะได้อย่างเหมาะสม จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ฝึกและความต้องการส่วนตัวของผู้ฝึกเอง แต่โดยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโยคะประเภทใดก็ล้วนแต่เกิดผลดีต่อผู้ฝึกทั้งสิ้น

ระดับความเข้มข้นของการฝึกโยคะ

ในการฝึกโยคะ จะขึ้นอยู่กับประเภทของโยคะที่เลือกฝึก ตัวอย่างเช่น หฐโยคะและไอเยนการ์โยคะ จะมีท่วงท่าที่นุ่มนวลและช้า ส่วนโยคะร้อนและพาวเวอร์โยคะ (Power Yoga) จะมีท่วงท่าที่รวดเร็วและมีความท้าทายมากกว่า โดยผู้ที่ต้องการฝึกโยคะสามารถสอบถามถึงรายและเอียดในการฝึกโยคะแต่ละประเภทได้กับครูสอนโยคะที่ได้ผ่านการอบรม เพื่อให้ทราบว่าตนเองเหมาะกับโยคะประเภทใด

ข้อมูลจาก พบแพทย์#โยคะรักษาโรค
read more "โยคะมีกี่ประเภท?"

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

โยคะ..คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร


มหัศจรรย์  "โยคะ" (Yoga) 
 
     "โยคะ" ในสังคมไทยปัจจุบันเป็นที่รู้จัก และนิยมฝึกฝนกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย   เนื่องจากการฝึกโยคะ ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์  และสามารถฝึกฝนด้วยตัวเองได้  โดยใช้สถานที่ใดก็ได้ตามแต่สะดวก  อาจจะเป็น ชายทะเล ริมสระว่ายน้ำ ภายในบ้าน หรือแม้แต่ระเบียง ก็มีให้เห็นตามสื่อต่าง ๆ ซึ่งถือว่าสะดวกอย่างมาก และมีประโยชน์ต่อการพัฒนาร่างกาย และจิตใจ เพื่อต่อสู้กับสังคมยุคปัจจุบันเลยทีเดียว   แต่ยังมีบางท่านที่ยังไม่ทราบว่า "โยคะ" คืออะไร?  มีประโยชน์อย่างไร  วันนี้ ปัทมาโยคะ จะขออธิบาย ดังนี้ค่ะ....     


         โยคะ คือ การฝึกฝนร่างกายและจิตใจ ด้วยชุดท่าที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายประกอบกับการหายใจ ทำให้เกิดสมาธิและความผ่อนคลาย ซึ่งเป็นการฝึกฝนเพื่อให้สุขภาพร่างกายและจิตใจเกิดความสมดุล


ประโยชน์ของการฝึกโยคะ

   โยคะ   เป็นการฝึกฝนร่างกายและจิตใจที่ผสมผสานระหว่างท่วงท่า ที่ใช้กำลังของร่างกายและควบคุมการหายใจร่วมกับการใช้สมาธิและการผ่อนคลาย โดยมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ฝึกมากมายดังต่อไปนี้
  • เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย การเล่นโยคะจะช่วยฝึกและพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้มีความแข็งแรง เช่น กล้ามเนื้อแกนกลาง แขน ขา ก้น และหลัง พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และที่สำคัญเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เกิดแรงกระแทกน้อย ซึ่งจะไม่ส่งผลให้ข้อต่อเกิดความเสียหาย โดยมีส่วนช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง ยืดหยุ่นและเกิดความสมดุล 
  • ลดความเครียด จากการศึกษาวิจัยมากมายได้ระบุว่าการฝึกโยคะอาจมีส่วนช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล และยังอาจช่วยพัฒนาอารมณ์และความสุขทางใจโดยรวมของผู้ฝึกได้อีกด้วย 
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหรือภาวะเรื้อรัง การฝึกโยคะอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคหืด โรคข้ออักเสบ โรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ นอกจากนั้น ยังอาจช่วยบรรเทาภาวะเรื้อรังบางชนิด เช่น ภาวะซึมเศร้า อาการเจ็บปวด ภาวะวิตกกังวล และอาการนอนไม่หลับ
  • ช่วยอาการปวดหลัง จากการศึกษาวิจัยพบว่า การฝึกโยคะอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดหลังเรื้อรังได้ โดยผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง เมื่อได้ฝึกโยคะพบว่าอาการปวดหลังดีขึ้น นอกจากนั้น มีการศึกษาหนึ่งพบว่าผู้ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังที่ได้รับการฝึกโยคะเพียง 1 สัปดาห์ จะมีอาการที่ดีขึ้นกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการออกกำลังกายชนิดอื่น ๆ นั่นก็เป็นเพราะการเล่นโยคะจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับร่างกายและกระดูกสันหลัง 
  • อาจช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวและการประสานงานของกล้ามเนื้อผิดปกติในโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) จากการวิจัยพบว่าการฝึกโยคะมีส่วนช่วยพัฒนาการทำงานของร่างกายและอารมณ์ ซึ่งมีผลช่วยให้โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งมีอาการที่ดีขึ้นได้ โดยมีการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ที่ฝึกโยคะทุกสัปดาห์ติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน สามารถช่วยให้อาการอ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้าจากโรคดังกล่าวดีขึ้นพอ ๆ กับการออกกำลังชนิดอื่น 
  • อาจช่วยลดความตึงเครียด แล้วอาจเพิ่มโอกาสในการมีบุตรสำหรับผู้ที่มีบุตรยาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคู่รักที่เลือกฝึกโยคะเพื่อลดความเครียดและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรกันมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษาวิจัยได้ระบุว่าการฝึกโยคะอาจมีผลดีต่อการเสริมสร้างภาวะเจริญพันธุ์ เพราะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และช่วยส่งเสริมการทำงานต่าง ๆ ของอวัยวะในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสของการมีบุตรได้ นอกจากนั้น ยังอาจช่วยให้การไหลเวียนโลหิตในส่วนอวัยวะที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ดีขึ้น ซึ่งอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะที่สำคัญในร่างกายและการทำงานของฮอร์โมนดีขึ้น 
  • ช่วยบรรเทาอาการเมาค้าง โยคะเสมือนเป็นวิธีที่จะช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย และช่วยกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย โดยเฉพาะการฝึกท่ายืนด้วยหัวไหล่ (Shoulder Stand) ท่าคันไถ (Plow) และท่าปลา ซึ่งเป็นท่าที่เชื่อว่าช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์และเพิ่มกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย จึงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการเมาค้างได้อย่างรวดเร็ว 
  • ช่วยเพิ่มความจำให้ดีขึ้น เนื่องจากการฝึกโยคะเป็นการฝึกจิตใจอย่างหนึ่ง เสมือนเป็นวิธีที่ช่วยกำจัดขยะออกไปจากร่างกายและจิตใจ โดยมีส่วนช่วยในการลดความเครียดทางอารมณ์และร่างกาย เมื่อจิตใจมีความสงบ ปลอดโปร่งและมีสติ จึงทำให้สามารถจำอะไรได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งทำให้มีความคิดที่เป็นระบบและมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น 

        
           ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก   :  พบแพทย์#โยคะชำระโรค


read more "โยคะ..คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร"

กำเนิด โยคะ

ยคะ ถือกำเนิดในประเทศอินเดียเมื่อหลายพันปีที่แล้ว โดยในสมัยโบราณนั้น มนุษย์ได้ค้นคว้าเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความเข้าใจในความ เป็นอยู่ของตนเองอดีตมีการจารึกถ้อยคำด้วยตัวอักษรความรู้ที่สำคัญ ๆ ทั้งหมด ถูกส่งผ่านคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งในรูปแบบของนิทาน ด้วยวิธีการเช่นนี้ ความรู้ต่าง ๆ จึงได้สะสมขึ้นและวัฒนธรรมต่างๆได้พัฒนาขึ้นมา และนี่คือวิธีการที่การฝึกโยคะได้ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันในหุบเขาแห่ง อินดัส วอลเลย์ นักโบราณคดีได้ค้นพบไม้แกะสลักและศิลปะรูปปั้นที่แสดงถึงการฝึกโยคะ ศิลปะเหล่านี้ถูกสร้างขึ้น

โดยประชาคมที่มีความเจริญเป็นอย่างสูง ซึ่งเจริญอยู่ในพื้นที่แถบนั้นช่วง 2000 และ1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ปัจจุบัน คือส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน) นักปราชญ์ชาวฮินดูคนหนึ่งชื่อว่า ปตัญชลี เป็นคนแรกที่ปรับปรุงการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน เขาเขียนสูตรของการฝึกโยคะเป็นหัวข้อ 8 หัวข้อสั้นๆ หัวข้อเหล่านี้เชื่อว่าได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยผู้ที่ปฏิบัติโยคะที่เป็นผู้ชายเรียกว่า โยคิน หรือ โยคี ส่วนผู้หญิงเรียกว่า โยคินี

           ส่วนผู้สอนเรียกว่า คุรุ (ครู) ประเทศตะวันตกได้นำโยคะมาเป็นการออกกำลังกายโดยดัดแปลงจาก Hatha-Yoga ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของโยคะ นอกจากนี้การฝึกท่าโยคะเรียก Asanas เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นเป็นระยะเวลาหนึ่งการฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือดและสารอาหารไปเลี้ยงประสาทไขสันหลังเพิ่ม การฝึกโยคะจะทำให้การทำงานของต่อมต่างๆ รวมทั้งต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น ท่าของการฝึกโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อตามแบบของโยคะ และมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวมกาย และจิตร่วมกัน การฝึกท่าโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้สุขภาพจิต และสุขภาพกายดีขึ้น ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย โดยท่าที่เป็นหลักในการฝึกโยคะ เช่น การฝึกโยคะท่าศพอาสนะ Savasana (Corpse Pose) ท่านั่งก้มตัว (Paschimottanasana) การฝึกท่างู Bhujangasana (Cobra Pose) เป็นต้น





read more "กำเนิด โยคะ "

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

ท่าโยคะต่าง ๆ

       ท่าต่าง ๆ ในการฝึกฝนโยคะ มีด้วยกันหลากหลายท่า ซึ่งแต่ละท่านั้น ก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป โดยแอดมินได้รวมรวมท่าต่าง ๆ ไว้บางส่วนดังนี้ค่ะ

  •    ท่าโยคะบริหารสายตา



  • ท่าโยคะง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน




  • ท่าบริหาร เพื่อลดทั่วร่าง  10 นิ้ว ใน 10 วัน !!



  • ท่าโยคะ เพิ่มส่วนสูง



  • ท่าฝึกโยคะ บนเตียงนอน









read more "ท่าโยคะต่าง ๆ "